ว่าด้วยโมเมนตัม และหัวใจของผม
เมื่อเด็กหนุ่มสุดเนิร์ดแถมยังเห่ยเรื่องกีฬาสุด ๆ ดันไปตกหลุมรักสาวสุดป็อบนักกีฬาโรงเรียน แถมยังมีศัตรูหัวใจเป็นหนุ่มที่ป็อบไม่แพ้กันอีกต่างหาก งานนี้คงเหนื่อยกันหน่อย
ผู้เข้าชมรวม
461
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
มวลกลมสีขาวเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตรกำลังเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแรงมนุษย์คนไหน จะทำให้เกิดโมเมนตัมการเคลื่อนที่แบบนี้ได้ ที่แย่ก็คือ มวลนั้นกำลังพุ่งเข้ามาทางหน้าผม และที่แย่กว่านั้นก็คือ ผมหลบไม่ทัน
ปึ๊ก!เต็ม ๆ ความรู้สึกตอนนั้น ถ้าเอาฟิสิกส์มาเปรียบเทียบ ก็ลองจินตนาการถึงลูกสนุกเกอร์ เวลาที่แทงลูกสีขาวมาสุดแรงเพื่อชิ่งลูกสีแดงที่อยู่นิ่ง ๆ บนโต๊ะให้ลงหลุมก็แล้วกัน เปรียบหัวผมตอนนี้ก็คือลูกสีแดงนั่นแหละ
“หูยยย!! 1....2.....3....4....” ผมได้ยินเสียงเพื่อนคนหนึ่งนับเลขราวกับว่าผมเป็นนักมวยที่ถูกต่อยจนสลบคาเวที ผมคิดว่าคงเป็นแฝดก๋อง หรือแก๋ง คนใดคนหนึ่ง
“พวกบ้า....เห็นเป็นเรื่องเล่นอีก ตายมั้ยเนี่ย โดนไอ้วัฒน์เล่นซะ” ขอบใจนะ...ไอ้โชน ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาเลย “อาจารย์ค้าบ เปลี่ยนตัวด่วนเลยค้าบ”
เพื่อน ๆ น่าจะสองสามคน ช่วยกันกึ่งลากกึ่งประคองพาผมออกมาข้างสนาม ผมรู้ตัวมีสตินะครับว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถประคองตัวยืนได้
เรื่องการบาดเจ็บระหว่างเล่นวอลเลย์บอลนี้ดูจะเป็นเรื่องปกติของผมไปซะแล้ว เพื่อนร่วมห้องผมเองเริ่มจะชินกับเหตุการณ์นี้ เพื่อนส่วนมากยกย่องผมให้เป็น “ตัวพ่อ” ในวิชาการแทบทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์หิน ๆ ไปจนถึงวิชาลูกเจี๊ยบ ๆ อย่างจริยธรรม แต่ทุกคนรวมถึงตัวผมเองรู้ดีเลยว่าเป็น “ตัวกระจอก” ในวิชาพละศึกษา ผมอาจจะเคยโดนลูกหลงแบบนี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยถึงกับร่วงหมดสภาพแบบวันนี้ เหตุเกิดเพราะนายวัฒน์ ซึ่งเป็นเด็กเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านกีฬา และมือหนักเป็นบ้าเป็นคนตบลูกเสริฟจากท้ายคอร์ทมาใส่หน้าผมเต็ม ๆ
“เห็นมั้ยมึง กี่นิ้ว” ก๋องชูสองนิ้ว ยิ้มยั่วต่อหน้าผม
“นี่ถ้ากูตอบว่า สามนิ้ว มึงจะพากูไปผ่าตัดสมองเลยใช่มั้ย” ผมเหวี่ยงกลับไปซะหน่อย ลูกหลงจากการบาดเจ็บครั้งนี้อย่างการแซวเละเทะจากแฝดก๋องและแก๋งคงตามหลอกหลอนผมไปอีกหลายวัน
“ยังดีนะที่มึงโดนลูกวอลเลย์ฯอัดแทบทุกอาทิตย์ แต่สมองยังไม่เสื่อม ยังเรียนหนังสือได้” ก๋องพูดขึ้นหลังจากที่จบชั่วโมงพละและเดินขึ้นมาที่ห้องเรียนเพื่อเตรียมเรียนวิชาถัดไป
“แล้วดันเป็นศัตรูหัวใจซะด้วยนะที่เล่นซะร่วงแบบนี้” แก๋งวิ่งพรวดตามหลังมาพูดแทรกขึ้น
ผมได้แต่ถอนใจ นั่นแหละที่ผมเซ็ง เชื่อว่าอินทุอรที่เรียนอยู่ด้วยวันนี้ก็คงเห็นเหตุการณ์เต็ม ๆ นั่นแหละ น่าอายชะมัด
เธอเป็นนักกีฬาโรงเรียนที่เผอิญหัวดีพอใช้ เธอสมัครเข้าโรงเรียนนี้ได้ด้วยโควต้าทุนนักกีฬา แน่นอนว่าเป็นกีฬาวอลเลย์บอล รูปร่างหน้าตาสะสวย หุ่นสูงโปร่ง แล้วยังคะแนนสูงพอที่จะได้อยู่ห้องเรียนนี้
ทุกคนที่เคยเห็นอินทุอรในชุดเครื่องแบบวอลเลย์บอลซึ่งเป็นเสื้อเข้ารูป แขนล้ำเพียงไหล่ กางเกงขาสั้นกุดรัดรูป ถุงเท้ายาว สนับเข่า ล้วนแต่หลงใหลในตัวเธอ ผมใช้คำว่าทุกคน เพราะผมสังเกตเห็นอาการนี้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แน่นอนว่าผมต้องสำรวจคู่แข่งของผมด้วย
คู่แข่งงั้นเหรอ คิดแล้วก็น่าขำ เธอคงรู้จักผมแค่ว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นชื่อ นายกทลี เนื่องจากเลขที่ในชั้นเรียนติดกัน วิชาใดก็ตามที่มีการเช็คชื่อนักเรียน ชื่อของผมจะขานต่อจากชื่อของเธอ อ่อ...ชื่อผมอ่านว่า กะทะลี ครับ
ผมพยายามจะเรียกคะแนนความสนใจจากเธอให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำตัวเด่นในห้องเรียนเช่นการยกมือตอบคำถาม คอยสืบว่า เธอต้องการต้นฉบับการบ้านมาลอกบ้างหรือเปล่า ก็แหม เธอเป็นนักกีฬานี่นา ต้องซ้อมเยอะแยะ คงไม่มีเวลาทำการบ้านเองทุกรอบหรอกมั้ง แต่ไม่เคยคุยกับเธอจริง ๆ จัง ๆ สักที สาเหตุหลักก็เพราะนายวัฒน์นี่แหละ
ดูเหมือนผู้คนที่ชื่นชมอินทุอร จะเห็นดีเห็นงามกับการที่เธอสนิทสนมกับนายวัฒน์เอามาก ๆ ความสามารถพิเศษของนายวัฒน์มีครบทั้งเรื่องการเรียน กีฬา และวาทศิลป์ สุภาษิตที่ว่า คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรองนี่ เป็นเรื่องที่นายวัฒน์พิสูจน์ให้เห็นได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ต้นเทอมที่นายวัฒน์สามารถตีซี้สนิทสนมกับอินทุอรได้อย่างรวดเร็ว เวลาที่เธอไม่ได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนสาว ๆ เธอก็จะไปไหนมาไหนกับนายวัฒน์อยู่บ่อย ๆ
ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็ง สาวสวยนักกีฬา กับผู้ชายบ้าเรียนที่โดนลูกวอลเลย์ซัดร่วงคาสนามนี่ ไม่เข้ากันจริง ๆ
“เอ่อ...คุณเพื่อนกล้วยครับ คุณฟังอยู่หรือเปล่า” เสียงกระซิบของก๋องเรียกสติผมกลับมา ขณะนี้ผมนั่งอยู่ในห้องเรียน และอาจารย์กำลังจะเริ่มสอนวิชาเคมี ผมต้องหันกลับไปทำสีหน้าฉงน เพราะผมไม่ได้ฟังจริง ๆ นั่นแหละ
“ว่า...?”
“ไอ้แก๋งมันบอกว่า เมื่อกี๊อินเค้าหันมามองมึง มองแบบตั้งใจมองเลยนะมึง”
ผมคิดว่าคงโดนอำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นประจำจากเพื่อนทั้งสอง เลยทำเป็นไม่สนใจ ทั้ง ๆ ที่ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง ผมจะดีใจมาก ๆ
“เชรี่ย...มึงนี่ กรูไม่ได้อำนะโว้ย กรูพูดจริงจริ๊ง” แก๋งร้องสำทับ แต่เผอิญว่าเสียงคงจะดังไปหน่อย อาจารย์หน้าห้องจึงหันมาทำหน้าดุใส่ต้นเสียง ทำให้บทสนทนาต้องจบเพียงแค่นั้น
ท่าทางจะเจ็บมาก เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ
อินทุอรได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเอง เธอพอจะรู้อยู่ว่า เพื่อนร่วมห้องที่ชื่อ กทลี ลอบมองเธออยู่บ่อย ๆ ทั้งชอบมาวนเวียนมาเสนอความช่วยเหลือในรูปแบบการให้ลอกการบ้าน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่สาวรูปสวยอย่างเธอเจอมาเยอะแยะหลากรูปแบบ แต่เป็นครั้งแรกที่เธอหวั่นไหวกับเจ้าของร่างสูง...ไล่เลี่ยกับเธอ หน้าตาดูเนิร์ด ๆ แต่กลับมีความน่าสนใจบางอย่างซ่อนอยู่ รอยยิ้มมุมปากของเขาช่างมีเสน่ห์อย่างลึกลับ ดวงตาหลังแว่นกรอบหนานั้นคมหวาน เธอเคยเห็นเวลาที่ไม่มีแว่นบัง...อย่างวันนี้ก็ตอนที่โดนลูกวอลเลย์ของนายวัฒน์ซัดเข้าไปนั่นแหละ ถึงเธอจะเห็นจากข้างสนามว่าดวงตาหลังแว่นนั้นปรือหมดสติ แต่เธอก็ยังลอบชมดวงตาของเขาว่ามันกลมได้รูป และขนตายาวเป็นแพดีจัง
น่าเสียดาย แต่สาวนักกีฬาทีมโรงเรียนอย่างเธอ กับ หนุ่มเนิร์ดที่โดนลูกวอลเลย์บอลกระแทกสลบคาสนาม อย่างไรก็ไม่น่าจะเข้ากันได้ หล่อนได้แต่ทอดถอนใจ ไม่ใช่ว่าหล่อนอยากคบแต่ผู้ชายนักกีฬามาดแมนแข็งแกร่งหรอกนะ แต่ถ้าเขาอ่อนแอมาก เขาจะดูแลเธอได้จริงหรือ ด้วยเหตุนี้ ตอนที่นายวัฒน์เข้ามาให้ความสนใจกับเธอ เธอจึงตัดสินใจรับไมตรีนั้น แม้ว่าหลังจากรู้จักกันมาได้สักพัก หล่อนแสนจะไม่ชอบความขี้อวด ชอบโชว์ฟอร์มเหนือของนายวัฒน์เอาซะเลย แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะตัดสัมพันธ์ ทำให้เธอก็ยังรักษาระดับความสัมพันธ์แบบที่ว่า “มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน” ไปก่อน เธอไม่อยากใช้คำว่า “กิ๊ก” เพราะเธอรู้สึกว่า แม้แต่คำนี้ก็ยังลึกซึ้งเกินไปสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนและนายวัฒน์
ในกีฬาวอลเลย์บอล เวลาที่ลูกวอลเลย์บอลพุ่งไปยังทิศทางที่ไม่เป็นผลดีกับทีม สิ่งที่ทำได้คือ นักกีฬาจะต้องพุ่งตัว ยืดแขนหรืออวัยวะใด ๆ เข้าไปเปลี่ยนโมเมนตัมของลูก โดยกระแทกลูกกลมขาวนั้น ใช้แรงและทิศทางที่เหมาะสม ให้ย้อนกลับมาในสนาม ให้เพื่อนร่วมทีมสามารถรับช่วงเล่นเกมต่อได้ เธอนึกอยากให้มีโมเมนตัมอะไรสักอย่างที่เบนลูกวอลเลย์บอลอย่างหล่อนกลับไปทางนายกทลีบ้าง เพราะเวลานี้ นายวัฒน์ก็ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของเธอมากเหลือเกิน
“อรคะ....” เสียงของนายวัฒน์เรียกขึ้น เมื่อหมดคาบเรียน แล้วก็ได้เวลาอาหารกลางวัน “ไปไหนกันดีคะวันนี้”
ไปไหนกันดีคะ...เธอเคยสงสัยว่า ชายหญิงที่พยายามจะเป็น “คู่รัก” กันเขาต้องพูดแบบนี้จริง ๆ หรือ หล่อนไม่ชินสักที ฟังทีไรก็จักจี้หูพิลึก
“ก็ต้องไปกินข้าวก่อนแหละ เที่ยงแล้วนี่” หล่อนตอบน้ำเสียงเรียบ ๆ พยายามควบคุมอารมณ์ในหางเสียงไม่ให้เหมือนรำคาญมากเกินไป
“กินร้านเสต็กแล้วกันนะคะ” เสียงนายวัฒน์ชักชวนอ่อนหวานชวนเลี่ยน น่าจะเป็นร้านที่เขาชอบที่สุดในโรงอาหาร เดือน ๆ หนึ่งเธอได้กินอย่างน้อย 2-3 วัน
“วันนี้อรขอเป็นอาหารอีสานได้มั้ย” หล่อนนึกอยากได้อาหารรสจัด ๆ เพื่อให้ตื่นตัวพอจะเรียนในคาบบ่ายได้
สีหน้านายวัฒน์ตึงไปเล็กน้อย เดาได้ไม่ยากว่าเขาไม่นึกอยากเลย แต่สุดท้ายเขาก็ตามใจให้หล่อนไปกินร้านนี้จนได้ นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หล่อนปฏิเสธเขาไม่ถนัดนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ตามใจหล่อนในเวลาที่ร้องขอ
วันนี้หล่อนสั่งลาบหมู ส้มตำไทยไก่ย่างอีกจำนวนหนึ่ง และข้าวเหนียว สำหรับสองคนกิน และยกจานสำรับมานั่งกินกันที่มุมหนึ่งของโรงอาหารไม่ไกลจากร้านนัก แอบเหลือบไปเห็นกทลีกับเพื่อนแฝดที่ชื่อก๋องและแก๋งนั่งอยู่ที่โต๊ะยาวแถวถัดไปทางด้านขวา บนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะเป็นก๋วยเตี๋ยวแยกชามกันสำหรับแต่ละคน
หล่อนก็ไม่รู้ว่าลอบมองหนุ่มเนิร์ดตาคมคนนั้นอยู่นานแค่ไหน แต่กลายเป็นนายวัฒน์ที่จู่ ๆ ก็เริ่มตัดพ้อ
“นี่อรฟังวัฒน์พูดอยู่หรือเปล่าคะ”
หล่อนสะดุ้งเล็กน้อย พยายามรวบรวมความคิด แต่ในเมื่อนึกไม่ออก หล่อนจึงต้องตอบไปว่า
“โทษที อรเหม่อไปหน่อย วัฒน์ว่าไงนะ”
วัฒน์พ่นลมหายใจ พยายามแล้วที่จะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ ก่อนว่าต่อ “วัฒน์ถามว่า วันนี้ชั่วโมงพละอรได้เห็นหรือเปล่า ที่ไอ้กล้วยมันสลบคาสนามอ่ะ”
“ก็...เห็นกันทั้งห้องนี่นา”
“เราสะใจที่มีโอกาส....เราหมั่นไส้มันมานานละ”
คำพูดของวัฒน์สะกิดใจอินทุอรอย่างยิ่ง หมั่นไส้เนี่ยนะ เด็กเรียนอย่างกทลี จะมีอะไรให้คนอย่างวัฒน์หมั่นไส้ ทำให้เธอต้องฟังต่อ
“ทำเป็นเงียบ ๆ หงิม ๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ก็ชอบเรียกร้องความสนใจตลอดเวลา พวกผู้หญิงขี้สงสาร ก็เลยพากันไปให้ความสนใจมัน”
“ยังไงกัน...เราไม่เห็นเข้าใจ” หล่อนนึกไม่ออกเลยว่ากทลีไปเรียกร้องความสนใจใครเมื่อไหร่ ตรงไหน หล่อนพอจะรู้ว่า พวกสาว ๆ ในห้องก็จับกลุ่มคุยถึงเขาบ้างนิดหน่อย สำหรับหล่อนแล้ว เขาไม่ได้เรียกร้องอะไร มีแต่เสน่ห์แบบเงียบ ๆ ของเขาเองนั่นแหละ ที่ทำให้น่าสนใจ อาจจะน่าสนใจมากกว่าผู้ชายที่อวดโอ่สรรพคุณของตนเองไปทั่วเสียอีก แรก ๆ ก็น่าสนใจอยู่ แต่พอมาอยู่ในสถานะอย่างเธอแล้ว มันช่างน่ารำคาญเหลือเกิน
“ก็อย่างวันนี้ที่วัฒน์ตบลูกวอลเลย์แสกหน้านั่นแหละ ก็เห็นอยู่ว่าวัฒน์จะตบลูกมาทางตัวเอง ก็ไม่รู้จักหลบ เอาหน้ารับไปเต็ม ๆ สำออย ให้คนต้องมาดู ให้สาว ๆ มาดู แล้วก็พากันสงสารกันใหญ่ ฮี่โธ่!คิดว่าจะไม่มีใครรู้ทันหรือไง”
“เดี๋ยวนะวัฒน์” หญิงสาวสะดุดคำพูดของวัฒน์ตั้งแต่ประโยคแรก ๆ “วัฒน์จงใจงั้นเหรอ”
วัฒน์ชะงักราวกับเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองหลุดปากเรื่องแย่ ๆ ออกไป เขาไม่ตอบหล่อน เพียงหยุดพูดและหลบสายตาลงต่ำ เพียงแค่นี้มันก็ฟ้องทุกอย่างแล้ว
“ไม่ใช่ว่ากล้วยทำตัวเรียกร้องความสนใจแย่งความเด่นไปจากเธอหรอก เธอมันขี้อิจฉาเองต่างหาก” หล่อนลุกพรวด ตบมือทั้งสองไปที่โต๊ะตรงหน้า พลางต่อว่าเสียงดัง ซึ่งเผอิญว่ามันดังพอไปถึงบุคคลอีกคนที่ถูกพาดพิง ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก และแน่นอน ในเมื่อมันดังข้ามไปได้ไกลขนาดนั้น ขณะนี้คนทั้งโรงอาหารจึงต้องหันมาสนใจคนทั้งคู่ หนุ่มสาวคนดังของโรงเรียนที่จู่ ๆ ก็พูดเสียงดังใส่กันในโรงอาหาร ช่างน่าสนใจเหลือเกินสำหรับเด็กนักเรียนทั้งหลาย
“ตอนแรกอรคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ก็เลยไม่ได้ถามมาก แต่ถ้าเป็นแบบนี้ วัฒน์ต้องไปขอโทษเขาซะ”อินทุอรพูดเสียงเข้มใส่ชายหนุ่มตรงหน้า ซึ่งบัดนี้กลับเงยหน้าขึ้น ด้วยความตกใจ
ขอโทษงั้นเหรอ เรื่องอะไรที่คนอย่างเขาต้องขอโทษ
“อรคะ ใจเย็น ๆ ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เลยนี่นา เห็นมั้ยล่ะ ไอ้กล้วยมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากซะหน่อย”
“รู้มั้ยวัฒน์ เวลาที่เล่นกีฬา เราอาจจะสู้กับฝั่งตรงข้าม เราอาจตบลูกบอลใส่เขาเพื่อให้เขารับไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นไปตามกติกาของเกม แต่เท่าที่อรฟังวัฒน์ วัฒน์ใช้ช่วงเวลาในเกม มาระบายอารมณ์หมั่นไส้ส่วนตัวบ้าบอ แบบนี้ในฐานะที่อรเป็นนักกีฬา เค้าเรียกว่าอะไรรู้มั้ย....เค้าเรียกว่า ไม่มีน้ำใจนักกีฬา แล้วก็ไม่เป็นสุภาพบุรุษด้วย” เธอว่าต่ออย่างเหลืออด และเสียงดังมากขึ้นไปอีกหลังจากฟังคำแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ จากนายวัฒน์ “ถ้ายังอยากคบ อยากคุยกันต่อ วัฒน์ไปขอโทษกทลีเค้าดี ๆ เลย”
“ไม่!” คราวนี้เป็นฝ่ายนายวัฒน์ที่ยืนขึ้นมาบ้าง ท่าทีอ่อนหวานเมื่อครู่นี้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
กลายเป็นว่าอินทุอรและนายวัฒน์ กำลังถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนท่ามกลางสายตาของนักเรียนมากมายในโรงอาหาร นี่เป็นครั้งแรกที่คู่ขวัญประจำโรงเรียน มีปากมีเสียงกันรุนแรงพอสมควร
ดูเหมือนอินทุอรจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก แล้วต้นเรื่องมันก็พัวพันมาที่ผมเสียด้วย สุดท้ายผมตัดสินใจ ผุดลุกเดินตรงไปที่คนทั้งคู่ โดยมีเจ้าก๋องและแก๋งตามติดมา ผมไม่ได้คาดหวังว่าทั้งคู่จะช่วยอะไรผมได้เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถือว่ามีคนเดินมาเป็นเพื่อนก็อุ่นใจไปอีกเปลาะ ….ก็ถ้าลามไปถึงทะเลาะวิวาทอย่างน้อยก็มีพยาน
“ทั้งคู่พอเถอะ เราไม่ติดใจอะไร เราเล่นกีฬาไม่ได้เรื่องมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ผมเปิดประเด็นไกล่เกลี่ย ถึงจะฟังดูเหมือนดูถูกตัวเองแต่เวลานี้การสงบศึกสำคัญกว่า สองคนนี้กำลังโกรธ คงไม่ทันคิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องนี้มันไปถึงพวกฝ่ายปกครอง หรือหัวหน้าโค้ชของอินทุอรเอง
“ไม่ได้หรอก...เธออยู่ใกล้ก็น่าจะได้ยินแล้ว เรื่องนี้มันไม่ใช่ว่าเธอเล่นไม่เก่งจนหลบไม่ทัน เจตนาแกล้งแบบนี้ เรารับไม่ได้ มันไม่เป็นสุภาพบุรุษ” เธอหันมาเถียงกับผมต่อ นี่กลายเป็นว่าผมเป็นคนเติมเชื้อไฟไปอีกเหรอเนี่ย “มาก็ดีแล้ว วัฒน์ ถ้าอยากให้จบก็ขอโทษเค้าซะ ต่อหน้าอรนี่ล่ะ”
นายวัฒน์ยังคงหน้าเชิดคอแข็ง หันมามองผมด้วยสีหน้าเคียดแค้น ประสาทของผมเริ่มเขม็งเกลียว ผมไม่เคยคิดว่าผมจะกำหมัดแน่นจนเกร็งเพื่อป้องกันตัวแบบนี้มาก่อน
แต่กลายเป็นว่านายวัฒน์ยื่นข้อเสนอที่ทำให้ประสาทของผมเขม็งเกลียวมากขึ้นไปอีก
“ถ้าจะให้ขอโทษ มาแข่งกันดีกว่า ด้วยวอลเลย์บอลนี่แหละ ถ้ากูแพ้ กูถึงจะขอโทษ”
“ไร้สาระน่าวัฒน์ หยุดเถอะ” อินทุอรเองเหมือนจะตกใจไม่แพ้ผมเลย เธอหันมองไปมาระหว่างผมกับนายวัฒน์ ผมเดาว่าเธอคงคำนวณแล้วว่า ผมไม่มีวันได้รับคำขอโทษจากวัฒน์แน่ “อรไม่เข้าใจนะ ว่าวัฒน์จะหาเรื่องแกล้งกทลีอะไรเค้านักหนา”
“แข่งกันเอาแค่ 1 แต้มนี่แหละ เอาแบบวอลเลย์บอลชายหาด ใช้แค่ฝั่งละ 2 คนพอ ใครได้แต้ม คนนั้นชนะ” วัฒน์ยื่นเงื่อนไขที่ดูเหมือนจะได้เปรียบทุกทาง คงไม่ยากที่วัฒน์จะหาลูกทีมเพิ่มอีก 1 คน ในเมื่อกำลังควงอยู่กับนักกีฬาโรงเรียน ส่วนผมเนี่ย ไม่แน่ใจเลยว่าต่อให้ก๋องหรือแก๋งมาช่วยผม เขาจะยอมช่วย “เย็นนี้เลยมั้ย”
“เราขอวันศุกร์นี้” ผมยื่นข้อเสนอกลับ และวันนี้เป็นวันพุธ แว่บแรกคิดว่าจะขอเวลาไปอีกสัก 1 สัปดาห์ แต่ต่อให้เวลานานขึ้น ไม่ใช่ว่าผมจะได้เปรียบมากขึ้นเสียหน่อย จุดประสงค์ตอนนี้คือยุติการทะเลาะเบาะแว้งของทั้งสองคนในโรงอาหารนี้ต่างหาก และต่อให้ผมชนะ ผมก็ไม่ได้นึกอยากได้คำขอโทษที่ไม่จริงใจสักนิด “ขอหาคนร่วมทีมก่อน”
“อรช่วยเธอเอง” อินทุอรพูดสวนขึ้น นี่เป็นเรื่องที่ผมนึกไม่ถึง และแน่นอนรวมถึงวัฒน์ด้วย “ทุกคนมีเงื่อนไข อรคิดว่าอรก็มีสิทธิ์ยื่นเงื่อนไขเหมือนกัน”
“ทุกคนยื่นเงื่อนไขกันหมดแล้ว เอาเป็นว่าตอนนี้หยุดแค่นี้นะ...ก่อนที่พวกอาจารย์จะมา” ผมรีบปิดฉากการสนทนา ดูจนกระทั่งอินทุอรและวัฒน์นั่งลงจัดการอาหารตรงหน้าต่อ จึงเดินกลับไปเก็บชามก๋วยเตี๋ยวกลับไปเก็บที่ที่วางในโรงอาหาร
“พวกมึงต้องช่วยกูแล้วล่ะ ก๋อง แก๋ง อย่างน้อยก็ขอยืมลูกพวกมึงมาหัดอันเดอร์กับน็อกบอร์ดก่อนแล้วกัน” ผมหันไปบอกเพื่อนแฝดหลังจากเดินพ้นโรงอาหาร
สองแฝดเข้ามาล้อมผมด้านซ้ายด้านขวา ถ้าจัดขบวนกันแบบนี้ มันคงเตรียมจะยียวนผมอีกตามเคย
“เพื่อนกล้วย กูบอกตรงนะมึง”ก๋องเปิดประเด็น
“เมื่อกี้มึงเท่ห์โคตรนะ แต่สงสัยว่า....”แก๋งรับลูกคู่
“เละแหง ๆ!”ทั้งสองจบประโยคพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ตั้งแต่บ้าน นี่เป็นความสามารถพิเศษของฝาแฝดหรือเปล่านะ
วันนี้น่าจะเป็นวันแรกในรอบหลายเดือน ที่อินทุอรต้องเดินกลับบ้านตามลำพัง เนื่องจากตอนนี้เธอกำลังโกรธวัฒน์อย่างมาก วัฒน์เองก็โกรธเธอไม่น้อย ระหว่างทางหญิงสาวเดินฮัมเพลงสบายใจ
“ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝาก...หัวใจ ลงทะเบียนฝากไว้ตัวเอากลับไปใจเก็บรักษา....”
หล่อนอดไม่ได้ที่จะมองไปทางสนามวอลเลย์บอลกลางแจ้ง ที่อยู่ระหว่างอาคารเรียน อันที่จริงมันเป็นพื้นปูนหยาบ ๆ ที่ตีเส้นและขึงเน็ตตามแบบสนามวอลเลย์บอล ซึ่งสนามแบบนี้ เวลาล้มต่อให้มีเครื่องป้องกัน ก็ถลอกปอกเปิกได้ง่าย ๆ ในตอนนั้นเอง เธอเห็นร่างสูง กำลังพยายามหัดน็อกบอร์ด ซึ่งก็คือการตบลูกวอลเลย์บอลลงพื้น ให้กระเด้งไปที่กำแพงไม้หน้าเรียบขนาดใหญ่ซึ่งขวางปิดลานด้านหนึ่ง จากนั้นก็ต้องวิ่งไปตบลูกที่เด้งกลับมานั้น วนไปวนมาเรื่อย ๆ เป็นการฝึกการกะจังหวะลูกให้สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของแขนและการสะบัดข้อมือ ถ้าทำเป็นและถูกต้อง จังหวะมันจะต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ราวกับการหมุนของเข็มนาฬิกา แต่ขณะนี้ ร่างนั้นดูทุลักทุเลกับการไล่เก็บลูกบอลเสียมากกว่า
อินทุอรก้มลงดูนาฬิกาข้อมือ ขณะนี้เป็นเวลาประมาณ 4 โมงเย็น “ยังพอมีเวลา” ว่าแล้วเธอก็เดินตรงไปหาร่างสูงนั้นในจังหวะที่เขากำลังจะตั้งต้นโยนลูกเพื่อตีรอบใหม่
“น็อกแบบนั้น...ไม่ไหวเลยนะ” เธอร้องทัก โดยที่ในใจอดเขกกะโหลกตัวเองไม่ได้ ที่เปิดบทสนทนาไม่ได้เรื่องเลย ไปว่าเขาแบบนั้นให้เสียกำลังใจได้ยังไง
“เห็นงั้นเหรอ” กทลีหันกลับมามองอินทุอร เหงื่อผุดรอบหน้าผาก ปากอ้าหอบเหนื่อย ดวงตาหลังกรอบแว่นนั้นฉายแววหลายอย่าง มันทั้งประหลาดใจ เหนื่อยล้า และมุ่งมั่นที่จะฝึกซ้อมต่อ “ช่างเหอะ เรื่องอื่นเราไม่เคยกลัว แต่เรื่องกีฬายอมรับว่าไม่ถนัดจริง ๆ”
กทลีเริ่มต้นโยนลูกบอลขึ้น ตบลูก เด้งกลับ จังหวะที่จะตบอีกครั้งเหมือนลูกเด้งมาสูงเกินไป มือเขาจึงเอื้อมไม่ถึง เลยตัวไป และต้องวิ่งตามไปเก็บอีกครั้ง
“เดี๋ยวเราทำให้ดูดีกว่า” อินทุอรยึดลูกวอลเลย์บอลจากมือของกทลีไป วางกระเป๋านักเรียนลงข้าง ๆ ก่อนวิ่งไปหาที่ว่าง จากนั้นก็เริ่มน็อกบอร์ด ซึ่งจังหวะของเธอนั้นลื่นไหล ไม่ติดขัด สร้างความเพลิดเพลินให้ชายหนุ่มนัก ดวงหน้าสะสวย แขนเรียวเอื้อมไปตวัดตบลูก สายตาคมที่จับจ้องไปตามจังหวะลูกราวกับจะไม่รับรู้สิ่งอื่นอีก
“กีฬาพวกนี้มันก็เป็นฟิสิกส์อย่างหนึ่งนะ แค่น็อกบอร์ดแค่นี้ ก็ได้มาหลายเรื่องเลย ทั้งเรื่องแรงกิริยา เท่ากับแรงปฏิกิริยา, การเคลื่อนที่ อะไรอีกน้า.....”อินทุอรตบลูกไป ก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อย น่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอได้คุยกับกทลีในลักษณะเช่นนี้
“โมเมนตัมล่ะมั้ง” กทลีว่ากลับได้เพียงเท่านี้
“แต่มันไม่ใช่แค่ฟิสิกส์ เพราะเธอต้องใช้ชีววิทยาในการมองให้สัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ที่เกิดขึ้นไง....เมื่อตะกี๊ลูกที่เด้งกลับมาหาเธอมันสูงเกินไปหน่อย แต่ถ้าเธอถอยหลังไปสักนิด เธอก็จะตบลูกต่อได้สบายขึ้น”
“แต่ถ้าทำแบบนั้น มันก็ไม่ใช่จุดสูงสุดที่ลูกเด้งกลับมาอ่ะดิ ลูกมันก็จะกลับไปไม่แรง เพราะน้ำหนักวัตถุไม่เป็นศูนย์” คำตอบแบบนี้ คงมีแต่เด็กเนิร์ด ๆ ที่คิดได้ แต่นั่นก็ทำให้หล่อนอดอมยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็คล้อยตามเธอ
“ก็จริง แต่นี่เป็นการฝึกประสาทสัมผัสอย่างต่อเนื่อง ควมแรงก็สำคัญ แต่จุดประสงค์สำคัญของการน็อกบอร์ดไม่ใช่แค่ความแรง แต่เป็นทักษะการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ให้สัมพันธ์กันต่างหาก” เธอหยุดมือในการตบ แล้วโยนลูกกลับไปให้กทลี โชคดีที่ลูกมาไม่เร็วนัก เขาจึงรับไว้ในอ้อมแขนได้ทัน
“แต่ก่อนที่จะตบ สำคัญว่าเราต้องรับลูกเสิร์ฟได้ด้วย เธอ...อันเดอร์ลูกมาสูง ๆ ฉันจะตบกลับให้เธอหัดรับ”
ในที่สุดก็ถึงวันศุกร์เย็น ผมอดดีใจไม่ได้ที่เรื่องของผมกับวัฒน์จะได้จบ ๆ ไป ทุกอย่างกลับไปสู่สภาพเดิม แต่ผมก็เสียใจตรงที่มันจะกลับไปสู่สภาพเดิมนี่แหละ ก็ถ้าเป็นแบบนั้น แปลว่าอินทุอรกับผม ก็คงจะกลับไปห่างเหินกันเหมือนเดิม หลังจากที่สองสามวันมานี้ เขาทั้งคู่ได้ซ้อมคู่กัน จนเพื่อนแฝดทั้งสองอดแซวเขาไม่ได้ตั้งแต่เช้า
“แค่นี้ก็คุ้มแล้วแหละคุณเพื่อนกล้วย”
“จะได้พลีชีพอย่างสมศักดิ์ศรี”
ผมเดินอาด ๆ มาในสนามพร้อมกับอินทุอรที่เปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดแข่งขัน “จะได้เคลื่อนไหวได้ไม่ต้องกลัวโป๊” เธอว่างั้น แต่ก็นั่นแหละ ชุดแข่งขันของวอลเลย์บอลยังไงมันก็โป๊กว่าชุดนักเรียนอยู่แล้วเป็นไหน ๆ นักเรียนหลาย ๆ คนทะยอยมาล้อมรอบตึกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นายวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่ง ผมคุ้น ๆ ว่าเขาเป็นนักกีฬาที่เรียนอยู่อีกห้องหนึ่งชื่อ แผน ผมล่ะสงสัยว่า เขาไปสนิทกันตอนไหน
อินทุอรเดินเข้ามากระซิบบอกแผนผม “เดี๋ยวฉันจะไปบอกวัฒน์ว่าให้วัฒน์เสริฟก่อน เป็นฝ่ายรับจะได้มีโอกาสบุก แต้มเดียว จะได้จบ ๆ ไป ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น วัฒน์คงเสริฟจี้มาทางเธอแน่ ๆ เพราะเป็นการบีบให้เธอต้องบุก ซึ่งถ้าเป็นอย่างงั้นก็....รับให้ได้ เราจะพยายามไปตั้งให้เธอตบต่อ ถ้ายังตบไม่ได้ ก็เอาแค่ข้ามไปก่อน เข้าใจนะ แล้วค่อยบุกรอบถัดไป”
ผมได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ทั้งที่ในสมองผมตอนนี้ คิดง่าย ๆ เพียงว่าผมจะไม่ยอมให้ตัวเองโดนลูกวอลเลย์บอลกระแทกหน้าสลบแบบคราวที่แล้วอีก เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
สรุปว่านายวัฒน์กับนายแผนได้เป็นฝ่ายเสริฟก่อน แถมนายวัฒน์ยังเป็นฝ่ายเสริฟอีกต่างหาก นี่คงกะว่าถ้าเล่นให้ผมสลบอีกรอบได้ คงสะใจเขามาก
แล้วก็เป็นอย่างที่อินทุอรว่าไว้จริง ๆ ลูกกระโดดเสริฟของวัฒน์วิ่งตรงมาทางผม ความเร็วของมันดูไม่ต่างกับตอนที่มันทำให้ผมสลบคราวที่แล้วเลย มันวิ่งมาเกือบจะถึงหน้าผม แล้ว ถ้าเผอิญว่า ผมไม่ได้วิ่งถอยหลังไปทันเวลา ผมตั้งแขนอันเดอร์ตั้งลูก ด้วยความเร็วของลูกที่วิ่งมา ทำให้มันพุ่งขึ้นไปสูงและลอยในอากาศนานอยู่เหมือนกัน
อินทุอรวิ่งมาทางลูกและพุ่งอันเดอร์ตั้งให้อย่างสวยงาม ถ้าเป็นมือตบแดนหลัง เขาคงวิ่งขึ้นมาตบฝังได้อย่างสวยงาม แต่เผอิญว่าเป็นผม ผมจึงทำได้แค่รอลูกบอลตกลงมาในระยะที่ผมเอื้อมแขนถึง และเคาะข้ามไปไกล ๆ
สายตาผมเพิ่งเหลือบไปเห็นว่า อินทุอรกองอยู่กับพื้น เนื่องจากพื้นนี้เป็นพื้นปูนหยาบ ๆ ไม่ใช่สนามมาตรฐาน เธอคงลืมตัวพุ่งไปแล้วหัวเข่ากระแทกพื้นจนเจ็บ หากแต่เกมยังไม่หยุด ผมเห็นสายตาอาฆาตแค้นของนายวัฒน์แล้วเดาว่า เขาต้องตบใส่อินทุอรที่ไม่มีทางสู้แน่ ๆ
ผู้ชายบ้าอะไรวะ รังแกกระทั่งผู้หญิงไม่มีทางสู้ คิดได้ดังนั้น ผมจึงรีบกวดวิ่งไปที่หน้าเน็ต บริเวณที่คิดว่าเป็นจุดโฟกัสของนายวัฒน์ที่จะตบลูกกลับมา เขาต้องไม่ให้ลูกบอลข้ามมาฝั่งนี้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ ผมกระโดดขึ้น ยืดแขนยาวที่สุดที่เคยยืดมาในชีวิต หวังว่ามันจะพ้นขอบเน็ตมามากพอที่จะบล็อกลูกไม่ให้ข้ามมา
ป๊าบ!
ลูกวอลเลย์บอลกระทบแขนผมเต็มที่ ทิศทางของลูก พุ่งกลับไปบริเวณที่เป็นพื้นที่ว่าง ไม่มีนายแผนเฝ้าอยู่ตรงนั้น และลูกก็กระทบพื้นตรงนั้นเอง ที่สำคัญคือมันยังไม่หลุดออกจากเส้นขอบสนาม
แบบนี้ก็แปลว่า....
“เชรี่ย!!!ไอ้กล้วยยยยยย” ก๋องวิ่งพรวดเข้ามาในสนามตะโกนเสียงดังตื่นเต้นสุดขีด
“เท่โคตรอ่ะมึง” แก๋งนี่ต้องวิ่งตามมาเป็นลูกคู่ให้ตลอดเลยสิน่า
แต่เดี๋ยวก่อน
“เออ ๆ ขอบใจ เฮ้ย วิ่งไปดูอรก่อนว่าเป็นยังไงบ้าง”
เราสามคนวิ่งลงไปที่ที่อินทุอรยังคงกองอยู่กับพื้น แม้สีหน้าเธอจะยิ้มแย้ม เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นดีใจสุดขีด ผมเพิ่งเห็นว่า ข้อศอกของเธอถลอกเป็นทาง มีเลือดไหลซิบ ๆ
โชคดีที่ผมพกผ้าเช็ดหน้ามา และแก๋งก็ถือขวดน้ำดื่มมา ผมจึงหันไปฉวยขวดน้ำมาเทน้ำลงไปที่ผ้าเช็ดหน้า บิดพอหมาด แล้วค่อย ๆ เช็ดรอบ ๆ แผลที่ข้อศอกของอินทุอร
“เหลือเชื่อเลยนะ” อินทุอรเอ่ยขึ้น มองหน้าผมพร้อมรอยยิ้ม เล่นเอาหัวใจผมแทบหยุดเต้น ผมไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของเธอในระยะประชิดขนาดนี้มาก่อน
“คงทำได้แค่ครั้งเดียวล่ะชีวิตนี้” ผมหมายความตามนั้นจริง ๆ “ตอนนั้นเราคิดแค่ว่า ทำยังไงก็ได้ ไม่ให้ลูกบอลมันข้ามมาอัดเธอน่ะ ไม่คิดว่าจะได้ผลแบบนี้”
“แปลว่า...เธอพยายามปกป้องเรางั้นเหรอ” แววตาฉงนของเธอก็น่ารักน่าเอ็นดูไม่ต่างกับรอยยิ้มของเธอเลย
“ก็...ใช่...แหละ....มั้ง” กลายเป็นผมที่เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องซะแล้ว
ผมไม่สนใจแล้วว่านายวัฒน์จะมาขอโทษผมตามเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งหรือเปล่า เพราะตอนนี้กลายเป็นว่า อินทุอรโผกอดผมเต็มอ้อมแขน ท่ามกลางสายตาไอ้แฝดตัวแสบ และนักเรียนอีกจำนวนมาก เสียงปรบมือดังรอบสนามอย่างกับหนังฝรั่งที่เคยดู
ใครหนอจะคิดว่าเรื่องเพ้อเจ้อแบบนี้จะมีอยู่จริง โมเมนตัมเปลี่ยนทิศทางมาทางผมแล้ว
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ดารากร (นารดา) ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ดารากร (นารดา)
ความคิดเห็น